คุยกับ "ดรีม" ในวันที่ความฝันถึงฝั่งฝัน

คุยกับ "ดรีม" ในวันที่ความฝันถึงฝั่งฝัน

ดรีม วานิสา จิตรปัญญา นักศึกษาสาวจากรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี วัย 24 ปี หนึ่งในนักเรียนทุนของโครงการสนับสนุนการศึกษา WAFCAT ในวันนี้ดรีมเรียนจบแล้ว กำลังจะเข้ารับปริญญาในช่วงไม่กี่เดือนที่จะมาถึง ดรีมและครอบครัวต่างกำลังมีความสุขในวันที่สำคัญมากวันหนึ่งในชีวิตนั้นก็คือการรับปริญญา แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดรีมต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างมากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ นั้นคือเหตุผลว่าทำไมวันนี้เราถึงมานั่งคุยกับดรีมกัน

อย่างแรกเลยต้องขอแสดงความยินดีกันบัณฑิตใหม่ด้วย ทีนี้อยากให้ดรีมเล่าประวัติตัวเองคร่าวๆ ให้เราฟังหน่อย

            ขอบคุณค่ะ ดรีมนะคะ วานิสา จิตรปัญญา ปัจจุบันอายุ 24 ปี แล้วค่ะ หนูเริ่มพิการตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เพราะว่าเป็นไข้สูงและนอนอย่างเดียวอยู่เป็นอาทิตย์ ที่นี้พอรู้สึกว่าหายดีขึ้นจะลองพยุงตัวก็ไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นร่างกายก็เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนพยุงตัวไม่ได้ในที่สุด จากที่เคยพยุงตัวเองได้บ้างตอนนี้ก็พยุงตัวเองไม่ได้เลยค่ะ หลังจากนั้นก็หยุดเรียนไปเลยและกลับมาเรียนอีกทีก็คือช่วง ม.3 ก็คือข้ามชั้นมาเลย ระหว่างที่ไม่ได้เรียนหนังสือคุณครูก็พาไปแข่งงานวิชาการบ้าง ไม่ว่าจะเป็น วาดรูป,คัดลายมือ,เล่านิทาน ดรีมก็สามารถคว้าเหรียญทองมาได้ทุกครั้ง คุณครูและเพื่อนๆ ก็มาเยี่ยมบ้างแต่หนูก็ยอมรับว่ามีน้อยใจบ้างว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไปวิ่งเล่นแบบเพื่อนๆ   

แล้วทำไมถึงเข้ามาเป็นนักเรียนทุนได้ล่ะ

            หนูไม่แน่ใจเหมือนกันว่าช่วงนั้นเข้ามาเป็นนักเรียนทุนได้ยังไง แต่ว่าช่วงนั้นหนูเริ่มเดินไม่ได้แล้ว เป็นช่วงที่กำลังจะขึ้นชั้น ป.5 และทีนี้มีคุณครูมาบอกว่ามีมูลนิธิหนึ่งเขาเปิดรับนักเรียนทุนและจะมอบเก้าอี้รถเข็นให้ ทางโรงเรียนเป็นคนดำเนินเรื่องและยื่นขอรถวีลแชร์ไปด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าได้รถวีลแชร์และคุณพินัยเป็นคนมอบให้ค่ะ น่าจะประมาณช่วงปี 51 – 52 นี้แหละค่ะ

WAFCAT สนับสนุนอะไรเราบ้าง

            อย่างแรกที่ทางมูลนิธิสนับสนุนก็คือรถวีลแชร์ จากนั้นก็จะเป็นเงินทุนเพื่อการศึกษา ประมาณ 3,000 บาท และช่วง ปวช. และ ปวส. ก็จะเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนและค่าหอพักในช่วงที่มาฝึกงานกับมูลนิธิ Wafcat ในบริษัทDenso ค่ะ และพอเข้ามาช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็จะเป็นค่าหอพักและค่ายานพาหนะค่ะ ในช่วงที่หนูมาฝึกงานกับมูลนิธิ ทางมูลนิธิจัดสรรรถรับส่งที่หอพักให้ อะไรประมาณนี้ค่ะ ส่วนในเรื่องกิจกรรมอื่นๆ มูลนิธิได้ให้โอกาสหนูได้ไปทัศนศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ ได้ไปแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ที่นั้นและได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในต่างประเทศ มูลนิธิมอบโอกาสให้หนูได้ฝึกเป็นผู้นำไม่ว่าจะเป็นการจัดค่าย,พิธีกิจฯ,กิจกรรมต่างๆ และได้มอบตำแหน่งประธานโครงการพี่ช่วยน้องให้กับหนูค่ะ

 

แน่นอนอยู่แล้วว่าการที่เป็นเด็กพิการจะต้องเจออุปสรรคและปัญหาต่างๆ ดรีมก้าวผ่านมันมายังไง

            อุปสรรคแรกที่หนูเจอเลยคือเรื่องการใช้ชีวิตค่ะ ก็คือหนูไม่เคยนั่งวิลแชร์เลย ส่วนมากถ้าอยู่บ้านก็คือหนูจะนั่งกับพื้นไปเลยและใช้วิธีการถไลไปกับพื้น พอได้วีลแชร์มาหนูก็ต้องปรับตัวว่าจะใช้วีลแชร์ยังไง ในช่วงที่ต้องฝึกเข้าห้องน้ำแรกๆ ก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นคือตกชักโครก ในเรื่องการเรียนก็มีอุปสรรคคือเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะว่าเราหยุดเรียนไปนาน ต้องมาตามดูย้อนหลังว่าวิชาเหล่านี้ในปีก่อนๆ มันเรียนยังไง และก็ทบทวนบทเรียนย้อนหลัง แต่พอมาถึงในช่วง ปวช. และ ปวส. หนูเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น และก็การเข้าสังคมกับเพื่อนๆ คุณครู และคนรอบข้างก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ คนรอบข้างเข้าใจและช่วยเหลือเรา คอยซัพพอตว่าเราต้องการให้ช่วยเหลืออะไร ถือว่าโชคดีมากที่เจอสังคมที่ดีค่ะ อย่างช่วงมหาวิทยาลัยบางทีต้องไปทำกิจกรรมบนอาคารชั้นบนบ้าง เพื่อนๆ ก็จะช่วยอุ้มขึ้นและยกรถเข็นขึ้นมาให้ด้วย สิ่งที่ทำให้หนูก้าวข้ามอุปสรรคได้คือหนูรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นเหมือนคนปกติคนนึง อาจจะมีข้อบกพร่องแต่อันดับแรกหนูมั่นใจในตัวเองว่าสามารถทำได้ แล้วก็คนรอบข้างคอยซัพพอตอยู่ เลยช่วยให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคมาได้ค่ะ

แล้วหลังจากเรียนจบแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ

            ความรู้สึกแรกที่หนูรู้สึกเลยคือ “นี้หนูเรียนจบแล้วจริงๆ หรอเนี่ย” (หัวเราะ) คือแบบมันเร็วมาก และก็ยังนั่งคิดอยู่ว่าจบแล้วจริงๆ ใช่ไหม คือมันดีใจค่ะ แล้วมันก็ภูมิใจในตัวเอง ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จากเด็กคนนึงที่นั่งอยู่บ้านและไม่รู้ว่าจะไปทางไหนมาวันนี้หนูเรียนจบแล้ว รู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่วันนั้นกล้าตัดสินใจออกมาเจอโลกภายนอก จากเด็กดื้อที่แม่คิดว่าทำไม่ได้แต่ว่าหนูคิดว่าหนูทำได้ หนูดีใจที่ได้เห็นแม่และครอบครัวยิ้มมีความสุขตอนที่หนูใส่ชุดครุยค่ะ เป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวด้วย

มีอะไรอยากขอบคุณมูลนิธิไหม

            อันดับแรกเลยก็ต้องขอขอบคุณทางมูลนิธิ WAFCAT ที่คอยช่วยเหลือและมาเป็นจุดประกายเล็กๆ ให้เด็กพิการคนนึง ได้ก้าวออกมาสู้ต่อไป แล้วก็เปิดโลกกว้างให้กับเด็กพิการและนักเรียนทุนหลายๆ คน อยากให้ทางมูลนิธิสานฝันน้องๆ รุ่นต่อไป พวกหนูก็สัญญาแล้วว่าจะช่วยสานฝันและดูแลน้องๆ รุ่นต่อไปค่ะ

คำถามสุดท้ายละ...หลังจากนี้เราวางแผนจะทำอะไรต่อไป

            เป้าหมายอย่างแรกของดรีมเลยมีงานทำค่ะ เลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัว อยากมีบ้านและอยากมีรถเป็นของตัวเอง อีกอย่างที่ดรีมตั้งใจไว้เลยคืออยากมีโครงการร่วมกับมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือน้องๆ ที่รู้สึกหมดแรงบันดาลใจให้พวกเขามีกำลังใจกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กพิการเป็นเด็กปกติก็ได้ค่ะ