โอม อนันตชัย ศรีสะอาด ในวัย 24 ปี วันนี้โอมได้งานทำแล้ว และมีกำหนดการเตรียมตัวรับปริญญาในช่วงปีหน้า ถือว่าเป็นปีที่กำลังรุ่งโรจน์สำหรับโอมเลยทีเดียว ทาง WAFCAT เองก็ยินดีมากที่โอมกำลังจะประสบความสำเร็จต่อไป วันนี้เรามีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับโอมเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบันที่ได้งานทำ ลองดูกันว่าโอมผ่านอะไรมาบ้าง
อยากรู้จักโอมมากขึ้นอีกนิด ช่วยแนะนำตัวหน่อยครับ
สวัสดีครับ ผมโอมนะครับ อนันตชัย ศรีสะอาด ปัจจุบันผมอายุ 24 ปีแล้วครับ ปัจจุบันทำงานที่บริษัท PromptNow จำกัด ตำแหน่ง Developer ครับ เพิ่งได้เลื่อนขึ้นขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกครับ ผมเริ่มขาอ่อนแรงประมาณช่วง ป.5 – ป.6 ครับแต่ว่าตอนนั้นยังพอเดินได้อยู่ และเดินไม่ได้เลยตอนขึ้น ม.1 ครับ ช่วงนั้นต้องอาศัยการขี่หลังเพื่อนไปเรียน
ทำไมถึงเข้ามาเป็นนักเรียนทุนได้ล่ะ
น่าจะเป็นช่วงขึ้นม.1 ครับ ตอนนั้นมูลนิธิเปิดรับสมัครเด็กทุนภาคกลางพอดี คุณครูที่รู้จักคิดว่าผมน่าจะผ่านเกณฑ์เลยลองสมัครดูครับ แล้วก็ผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ช่วงประมาณปี 54 - 55 มูลนิธิก็ติดต่อมาเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ อะไรประมาณนี้ครับผม
WAFCAT สนับสนุนอะไรเราบ้าง
ก็มีในเรื่องของทุนการศึกษาครับ ช่วงนั้นผมจะได้รถสามล้อโยกก่อนช่วงประมาณผมอยู่ ม.2 และต่อมาก็ได้รถวีลแชร์เพื่อใช้ไปเรียนตอนมัธยม พอมาช่วงมหาวิทยาลัยจะช่วยเหลือทุนการศึกษา ค่าหอพัก และค่าเดินทางเวลามีกิจกรรมต่างๆ ครับ
โอมเจออุปสรรคหรือปัญหาอะไรบ้าง แล้วก้าวผ่านมาได้ยังไง
ถ้าถามในเรื่องอุปสรรคอย่างแรกก็คือเรื่องของการใช้ชีวิตครับ ตั้งแต่ม.3 ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในเรื่องของการเรียน ตอนนั้นรู้สึกว่าจบม.3 แล้วเราจะไปต่อที่ไหนดี อยากมีงานทำ อยากมีอนาคตที่ดี ตอนนั้นทางมูลนิธิแนะนำให้ผมไปเข้าค่ายที่ทางมูลนิธิจัดครั้งแรกน่าจะที่หาดจอมเทียน แล้วทางมูลนิธิก็พาไปดูงานที่โรงเรียนพระมหาไถ่พัทยา ได้ไปดูและก็ได้เห็นว่าเขาสามารถอยู่ด้วยตนเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่น และเขามีการเรียนการสอน และได้เห็นว่าบางคนสามารถไปทำงานได้ บางคนได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ บางคนก็ออกไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็เลยทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นครับ ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจไปเรียนเลย ที่บ้านก็มาส่งกันครับ พ่อกับแม่นี้ร้องไห้เลย เพราะเป็นห่วงว่าผมจะอยู่ยังไง จะมีใครมาแกล้งมั้ย แต่ตัวผมเองมั่นใจว่าสามารถทำได้ มาถึงขนาดนี้ก็รู้สึกอย่างลองสักตั้ง แต่พอมาอยู่จริงๆ สังคมที่นี้ดีมากไม่มีการบูลลี่เพราะทุกคนเหมือนกัน ตอนไปมหาวิทยาลัยเพื่อนๆ ก็เข้าใจหมดเพราะว่าเป็นสังคมที่ทุกคนโตขึ้นแล้ว ผมเจอแต่สังคมที่ดีครับเลยไม่ได้รู้สึกบั่นทอนจิตใจ อีกอย่างผมเป็นคนที่คิดบวกด้วย
ขอถามความรู้สึกตอนเรียนจบหน่อยสิว่ารู้สึกยังไงบ้าง
ก็รู้สึกดีใจครับ เพราะว่าระยะเวลา 4 ปี ก็รู้สึกว่าผ่านอะไรมาเยอะทั้งการตื่นเช้ามาเรียน การเข้าไปเจอผู้คนในสังคมเยอะมากขึ้น การที่เราต้องบริหารเวลาการเรียน การนอน การทำงานต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่าโตขึ้นครับ
ดีเลย...แล้วตอนนี้การทำงานเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้เพิ่งได้บรรจุทำงานมาประมาณ 2 เดือนแล้วครับ แต่ว่ามีช่วงทดลองงาน 3 เดือน รวมแล้วผมทำงานที่นี้มาได้ 5 เดือนแล้วครับ ตอนนี้ผ่านโปรแล้วผมเลยได้เลื่อนมาเป็นหัวหน้าแผนกสายนี้ครับ การทำงานจริงแตกต่างกับการเรียนมากครับ เพราะการเรียนเจอแต่ทฤษฏีไม่ค่อยได้ปฏิบัติจริง แต่พอมาทำงานจริงต้องมีการออกแบบกระบวนการทำงาน การบริหารคน บริหารโปรเจคงานของเรา แล้วก็กรอบระยะเวลาที่ต้องส่งมอบให้ลูกค้า การ Maintenance การให้บริการของเรา ก็ต้องวางแผน เป็นระเบียบและตรงต่อเวลา การทำงานของผมเป็นคือ Work from anywhere การทำงานของผมมีทั้งความสนุก กดดัน และตื่นเต้นครับ (หัวเราะ) แต่ผมเป็นคนที่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้จะไม่เอาเรื่องงานมาเครียดในช่วงเวลาส่วนตัว เลิกงานก็คือเวลาส่วนตัวครับ เวลาทำงานผมก็เต็มที่กับมัน
แล้วมีอะไรอยากขอบคุณมูลนิธิไหม
เอาจริงๆ มันก็อยู่ในใจอยู่แล้วครับ เราเป็นผู้รับมาตั้งแต่ช่วงมัธยม มหาวิทยาลัย จนเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็อยากขอบคุณทางมูลนิธิที่ได้สนับสนุนผู้พิการคนนึงที่ช่วงแรกรู้สึกว่าหนทางข้างหน้ายังมืดมน มูลนิธิเป็นเหมือนเทียนไขที่มาให้แสงสว่างอีกครั้ง ช่วยชี้แนะให้ผมได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็อยากจะให้มูลนิธิช่วยเหลือน้องๆ เด็กพิการต่อไป ตัวผมเองถ้ามีโอกาศก็จะกลับมาสนับสนุนมูลนิธิต่อไป
เอาล่ะคำถามสุดท้ายละ...วงแผนอนาคตของตัวเองไว้ยังไงบ้าง
ตอนนี้ผมมีแผนที่จะเรียนต่อปริญญาโท ด้านการบริหาร (MBA) เพื่อที่จะบริหารทรัพยากรของคนในตำแหน่งที่ผมได้รับ และอยากจะทำงานด้านนี้ให้เต็มที่ ผมอาจจะทำงานอีกสัก 5 – 10 ปี ให้มั่นคงก่อนเพื่ออนาคตจะไปทำธุรกิจส่วนตัวในด้านสิ่งที่เราชอบสักอย่างนึงครับ